วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ค่าปฏิกรรมสงครามโลกหลุดโลก วาทะเดือดของสหรัฐฯ เพลิงแค้นเยอรมัน

          ห่างหายกันไปนานนะครับ(ช่วงที่ผ่านมาติดภารกิจสำคัญ)…เรามาต่อกันที่ค่าปฏิกรรมสงครามที่หลุดโลกซึ่งถ้าคิดเป็นเงินไทยอย่างคร่าวๆก็ประมาณ 23,550,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นงบประมาณแผ่นดินที่ใช้กันแบบสบายๆเลยสำหรับประเทศไทย  แต่ทว่าเยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามต้องจ่ายเงินที่เรียกได้ว่าขูดเลือดกับปูถึงชนิดที่ว่ารีดจนปูแบนเป็นกระดาษ เงินจำนวนมหาศาลนี้สามารถพื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและบ้านเมืองได้อย่างเหลือเฟือ 


ค่าปฏิกรรมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หมายถึง การจ่ายค่าทดแทน การถ่ายโอนทรัพย์สินและเครื่องมือซึ่งเยอรมนีถูกบังคับให้กระทำภายหลังจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ โดยมาตรา 231 ว่าด้วยความผิดฐานเป็นผู้ริเริ่มสงคราม เยอรมนีและพันธมิตรถูกบังคับให้ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความสูญเสียของฝ่ายพันธมิตรทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากสงคราม และจำเป็นต้องจ่ายในรูปของค่าปฏิกรรมสงคราม

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1921 คณะกรรมการค่าปฏิกรรมสงครามระหว่างฝ่ายพันธมิตรประกาศจำนวนเงินทั้งหมดทึ่เยอรมนีต้องชดใช้คิดเป็น 269,000 ล้านมาร์ก (ทองคำบริสุทธ์ราว 100,000 ตัน) หรือคิดเป็นกว่า 23,600 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นกว่า 32,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ซึ่งคิดเป็น 785,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐตามค่าเงินในปี ค.ศ. 2011) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากในยุคนั้นมองว่ามากเกินกว่าจะยอมรับได้ จำนวนเงินที่เยอรมนีต้องผ่อนชำระในแต่ละปีได้รับการลดลงใน ค.ศ. 1924 และใน ค.ศ. 1929 จำนวนเงินที่ต้องชำระทั้งหมดได้ลดจำนวนลงมากกว่า 50% การผ่อนชำระยุติลงเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี ก้าวขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1933 โดยมีการชำระค่าปฏิกรรมสงครามไปแล้วหนึ่งในแปดของทั้งหมด การผ่อนชำระงวดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ตรงกับวันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี


วาทะเดือดของผู้ที่ต้องการเห็นสันติภาพอย่างแท้จริง!
 
ประธานาธิบดีคลูมองโซแห่งฝรั่งเศสประสบความล้มเหลวที่ไม่อาจทำตามความต้องการของชาวฝรั่งเศสได้ และต้องพ้นตำแหน่งไปหลังจากการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 ส่วนจอมพลแห่งฝรั่งเศส เฟอร์ดินานด์ ฟอก ได้แสดงความคิดเห็นออกมาว่า การจำกัดความสามารถของเยอรมนีนั้นเป็นความกรุณามากเกินไป "นี่ไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นสนธิสัญญาพักรบที่มีอายุยี่สิบปีเท่านั้น"
ตรงกันข้ามกับความคิดเห็นที่แตกต่างของเฮนรี่ คาบอด ลอดจ์ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ได้ลงมติปฏิเสธที่จะอนุมัติสนธิสัญญาดังกล่าว แม้ว่าจะมีการโต้วาทีครั้งสำคัญก็ตาม ประธานาธิบดีวิลสันได้ปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนแก่สนธิสัญญาแวร์ซายเช่นกัน  ผลที่ตามมา คือ สหรัฐอเมริกามิได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสันนิบาติชาติ แม้ว่าประธานาธิบดีวิลสันจะอ้างว่าเขาสามารถ"ทำนายด้วยความมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าในอีกชั่วอายุคนหนึ่งจะมีสงครามโลกเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากประชาชาติไม่ได้ประสานงานกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น"


เพื่อนของประธานาธิบดีวิลสัน ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด แมนเดล เฮาส์ ได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวของเขาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1919 ไว้ว่า
"ผมกำลังออกจากกรุงปารีส หลังจากผ่านช่วงเวลาอันสำคัญนานแปดเดือนด้วยอารมณ์ที่สับสน เมื่อได้มองดูที่ประชุมในห้วงความทรงจำของผม มีหลายสิ่งที่น่ายินดีและหลายสิ่งที่น่าเสียใจ มันเป็นการง่ายมากที่จะกล่าวว่าอะไรควรจะเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่กลับหาทางที่จะลงมือทำอย่างแท้จริงได้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่คิดว่าสนธิสัญญานี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่สมควรที่จะถือกำเนิดขึ้นมาเลย และบอกว่ามันจะมีผลเกี่ยวพันถึงทวีปยุโรปในความยุ่งยากไม่สิ้นสุดจากผลของมัน ผมจะมีความรู้สึกเห็นด้วยกับคนคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมก็จะตอบแก่เขาว่าจักรวรรดิไม่สามารถถูกทำลายลงได้ และรัฐแห่งใหม่ที่เจริญขึ้นมาจากเศษซากของจักรวรรดิเก่าโดยปราศจากความไม่สงบ ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างเขตแดนแห่งใหม่ขึ้นย่อมหมายถึงการก่อปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีวันหมดสิ้น ขณะที่ผมควรจะหันไปทางสันติภาพที่แตกต่าง ผมก็สงสัยเป็นอันมากว่ามันจะทำได้จริงหรือ เพราะส่วนประกอบหลายอย่างที่ต้องการในการสร้างสันติภาพขึ้นมานี้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในกรุงปารีสแห่งนี้เลย"
หลังจากที่ผู้แทนของประธานาธิบดีวิลสัน วาร์เรน จี. ฮาร์ดิง ได้ทำการต่อต้านแนวคิดสันนิบาตชาติต่อไป วุฒิสภาได้ผ่านมติน็อกซ์-พอร์เตอร์ (Knox-Porter Resolution) ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1921


เพลิงแค้นที่ลุกโชติช่วง
เมื่อวันที่ 29 เมษายน คณะผู้แทนเยอรมนีภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อูริก กราฟ วอน บรอกดอร์ฟฟ์-รันเซา ได้เดินทางมาถึงที่ประชุมแวร์ซาย ในวันที่ 7 พฤษภาคม เมื่อเขาได้เห็นเงื่อนไขที่ผู้ชนะกำหนดขึ้นมานั้น รวมไปถึง "อนุประโยคความผิดฐานเป็นผู้ริเริ่มสงคราม" แล้ว เขาได้ตอบแก่ผู้นำฝ่ายพันธมิตรในที่ประชุมว่า


"เราได้รับทราบถึงความเกลียดชังรุนแรงที่เราได้เผชิญ ณ ที่แห่งนี้ พวกท่านต้องการให้เรายอมรับว่าเราเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ผิดในสงครามครั้งนี้ การยอมรับของข้าพเจ้าก็จะเป็นแค่เพียงคำโกหกเท่านั้น"

เพราะว่าเยอรมนีไม่มีส่วนใด ๆ ในการเข้าร่วมประชุม รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจึงยื่นคำร้องประท้วงต่อข้อเรียกร้องอันไม่เป็นธรรม และ "การทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศ" และยกเลิกการเดินหน้าการประชุมแวร์ซายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น มุขมนตรีเยอรมนีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งฟีลิพพ์ ไชเดมันน์ ได้ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายและถอนตัวออก และในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1919 เขาได้เรียกสนธิสัญญาดังกล่าวว่าเป็น "แผนการสังหาร" และเปล่งเสียงออกมาว่า

"มือที่พยายามจะจับเราล่ามโซ่จะไม่ร่วงโรยหรือ สนธิสัญญานี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
ภายหลังจากการถอนตัวของไชเดมันน์ รัฐบาลผสมใหม่ของเยอรมนีภายใต้การนำของ กุสตาฟ เบาเออร์ มีความจำเป็นที่จะต้องลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว

พวกอนุรักษ์นิยม พวกชาตินิยม และนายทหารนอกประจำการได้เริ่มต้นการพูดคุยอย่างฉุกเฉินเกี่ยวกับสันติภาพ และพวกนักการเมือง พวกสังคมนิยม พวกคอมมิวนิสต์ และชาวยิวถูกจับตามอง เนื่องจากว่ามีความเห็นโอนเอียงไปหาต่างประเทศ รวมทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่สนับสนุนสงคราม และขายชาติให้กับศัตรู สมาชิกขององค์การไซออนโลกได้พยายามที่จะชักจูงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาให้มุ่งไปยังจักรวรรดิออตโตมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชะตากรรมของปาเลสไตน์ และกลายมาเป็นการประชุมสันติภาพปารีส พวกอาชญากรเดือนพฤษจิกายน (November Criminals) หรือ ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากประเทศเยอรมนีที่กำลังอ่อนแอ และสาธารณรัฐไวมาร์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ผู้แทงข้างหลัง" จาก แนวหน้าที่บ้าน โดยวิจารณ์ลัทธิชาตินิยมของชาวเยอรมัน หรือไม่ก็ยุยงให้เกิดการจลาจลและการประท้วงหยุดงานในอุตสาหกรรมทางทหารที่สำคัญ หรือ การลักลอบขายสินค้าราคาแพง โดยแนวคิดดังกล่าวมีผู้เชื่อว่าเป็นความจริงจำนวนมาก

เมื่อถูกบีบคั้นทุกวิถีทางเยอรมันต้องจำใจจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาอีกครั้ง.....เพื่อให้โลกได้รับรู้ถึงความอยุติธรรม

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

สนธิสัญญาแวร์ซายจุดจบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง...และจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง

คอประวัติศาสตร์หลายๆท่านคงทราบดีว่า...
การสงบศึกครั้งนี้เพื่อมนุษยชาติ(ฉากหน้าอันดูดี )และ ผลประโยชน์ของผู้ที่ชนะสงครามที่จะคอยกอบโกยจนไม่ให้จักรวรรดิเยอรมัน ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดจากภาวะเงินเฟ้อชนิดที่ว่า "จากหนึ่งดอลล่าร์เท่ากับ 4.2 มาร์ก ไปเป็น หนึ่งดอลล่าร์เท่ากับ 4.2 ล้านล้านมาร์ก" คิดง่ายๆถ้าคุณจะซื้อขนมปังสัก 1 ปอนด์ก็ใช้เงินตั้ง 3 พันล้านมาร์ก (คนสมัยนั้นมักเอาเงินมาเผาเล่นและทำเป็นกระดาษโน้ตหรือทำเป็นวอลล์เปเปอร์) เท่านั้นยังไม่พอังต้องเสียดินแดนสุดรักอย่างแคว้น
 อัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งได้มาตอนสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย


ฝ่ายมหาอำนาจกลางดูเครียดๆแต่ฝ่ายสัมพันธมิตรแอบดีใจเพราะจะได้เงินก้อนโต




สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น ถึงแม้ว่าจะได้มีการลงนามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสได้กินเวลาไปกว่าหกเดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญา
ผล จากสนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดใน ฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ในภายหลังรู้จักกันว่า "อนุประโยคความผิดในอาชญากรรมสงคราม") และในข้อ 232-248 เยอรมนี ถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็น จำนวนมหาศาล เมื่อปี ค.ศ. 1921 ได้ประเมินว่ามูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์) อันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้และไม่สร้างสรรค์ และเยอรมนีอาจต้องใช้เวลาชำระหนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 1988 สนธิสัญญาดังกล่าวได้ถูกบ่อนทำลายด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 1932 จนกระทั่งร้ายแรงขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1930
การ แก่งแย่งและเป้าหมายที่ขัดแย้งกันเองของฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามทำ ให้ไม่มีฝ่ายใดพอใจผลการประนีประนอมที่ได้มาเลย ทั้งเยอรมนีก็ไม่ได้รับการปลอบประโลมหรือไมตรีตอบแทนใด ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลร้ายต่ออนาคตของเยอรมนีเท่านั้น หากกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ตลอดจนโลกทั้งใบอีกด้วยการที่ฝ่ายพันธมิตรไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์หรือทำให้ เยอรมนีอ่อนแออย่างถาวร ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง
 
การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี และเก้าสิบสองปีพอดีหลังสงครามยุติ
 
เป้าหมายซ่อนเร้น...ดับอำนาจจักรวรรดิเยอรมัน

 
เป้าหมายของฝรั่งเศส
เป้าหมายของฝรั่งเศสเน้นไปทางการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยจากการรุกรานของเยอรมนี จากการรบบนแนวรบด้านตะวันตก ฝรั่งเศสสูญเสียทหารไปราว 1.5 ล้านนาย รวมไปถึงพลเรือนอีกกว่า 400,000 คน สงครามได้สร้างความเสียหายแก่ฝรั่งเศสพอ ๆ กับเบลเยี่ยม นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส จอร์จส์ คลูมองโซ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการล้างแค้นเยอรมนี โดยต้องการให้เยอรมนีกลายเป็นอัมพาต ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจและการเมือง
เจต นาของคลูมองโซนั้นชัดเจนและเรียบง่าย นั่นคือ กองทัพของเยอรมนีต้องไม่ถูกทำให้อ่อนแอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้องทำให้อ่อนแออย่างถาวรจนกระทั่งไม่สามารถทำการรุกรานฝรั่งเศสได้อีก คลูมองโซนั้นเป็นบุคคลที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มผู้นำทั้งสี่ จนได้รับฉายา "Tigre" (เสือ) ด้วยเหตุผลดังกล่าว
จอร์จส์ คลูมองโซแห่งฝรั่งเศสต้องการค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีคั่งของประเทศที่ได้ รับความเสียหายและเห็นว่าการเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามนั้นจะเป็นการทำให้เย อรเพื่อฟื้นฟูความ มั่งมนีอ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะเอาแคว้นอัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งถูกฉีกออกไปจากฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) ค.ศ. 1871 กลับคืน หรือถ้าเป็นไปได้ก็แสวงหาแม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนธรรมชาติติดกับเยอรมนี
เป้าหมายของอังกฤษ
นายก รัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้ สนับสนุนการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตที่น้อยกว่าการเรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษ เพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของเยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของ อังกฤษอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น เขายังกังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง และ ต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่ สุดของโลกสองแห่ง ซึงได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิ สัญญาลับ
ยังมีคำกล่าวบ่อย ๆ ว่าลอยด์ จอร์จเดินทางสายกลางระหว่างข้อเสนออันเพ้อฝันของวิลสันและข้อเสนอพยาบาทของคลูมองโซ

เป้าหมายของสหรัฐอเมริกา
นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 สหรัฐ อเมริกาก็ต้องการให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุดโดยที่ไม่มีผู้แพ้และผู้ ชนะ ก่อนสงครามยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้ผลักดันให้ข้อเสนอหลักการสิบสี่ข้อ ซึ่ง มีความรุนแรงน้อยกว่าความต้องการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้เป็นจุดมุ่งหมายในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกา มหาชนชาวเยอรมันคิดว่าสนธิสัญญาสันติภาพควรจะมีเงื่อนไขออกมาประมาณนี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ทว่าหลักการดังกล่าวไม่เคยประสบผลเลย

 ขอจบไว้แค่นี้ก่อนในโอกาสหน้า...จะขอนำเสนอค่าปฏิกรรมสงครามที่แพงหลุดโลกและวาทะเด็ดของสหรัฐอเมริการวมทั้งเพลิงความแค้นของเยอรมัน

 ขอขอบคุณ th.wikipedia.org , en.wikipedia.org