วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

สนธิสัญญาแวร์ซายจุดจบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง...และจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง

คอประวัติศาสตร์หลายๆท่านคงทราบดีว่า...
การสงบศึกครั้งนี้เพื่อมนุษยชาติ(ฉากหน้าอันดูดี )และ ผลประโยชน์ของผู้ที่ชนะสงครามที่จะคอยกอบโกยจนไม่ให้จักรวรรดิเยอรมัน ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดจากภาวะเงินเฟ้อชนิดที่ว่า "จากหนึ่งดอลล่าร์เท่ากับ 4.2 มาร์ก ไปเป็น หนึ่งดอลล่าร์เท่ากับ 4.2 ล้านล้านมาร์ก" คิดง่ายๆถ้าคุณจะซื้อขนมปังสัก 1 ปอนด์ก็ใช้เงินตั้ง 3 พันล้านมาร์ก (คนสมัยนั้นมักเอาเงินมาเผาเล่นและทำเป็นกระดาษโน้ตหรือทำเป็นวอลล์เปเปอร์) เท่านั้นยังไม่พอังต้องเสียดินแดนสุดรักอย่างแคว้น
 อัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งได้มาตอนสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย


ฝ่ายมหาอำนาจกลางดูเครียดๆแต่ฝ่ายสัมพันธมิตรแอบดีใจเพราะจะได้เงินก้อนโต




สนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น ถึงแม้ว่าจะได้มีการลงนามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสได้กินเวลาไปกว่าหกเดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญา
ผล จากสนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดใน ฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ในภายหลังรู้จักกันว่า "อนุประโยคความผิดในอาชญากรรมสงคราม") และในข้อ 232-248 เยอรมนี ถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็น จำนวนมหาศาล เมื่อปี ค.ศ. 1921 ได้ประเมินว่ามูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์) อันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้และไม่สร้างสรรค์ และเยอรมนีอาจต้องใช้เวลาชำระหนี้ไปจนถึงปี ค.ศ. 1988 สนธิสัญญาดังกล่าวได้ถูกบ่อนทำลายด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 1932 จนกระทั่งร้ายแรงขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1930
การ แก่งแย่งและเป้าหมายที่ขัดแย้งกันเองของฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามทำ ให้ไม่มีฝ่ายใดพอใจผลการประนีประนอมที่ได้มาเลย ทั้งเยอรมนีก็ไม่ได้รับการปลอบประโลมหรือไมตรีตอบแทนใด ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลร้ายต่ออนาคตของเยอรมนีเท่านั้น หากกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ตลอดจนโลกทั้งใบอีกด้วยการที่ฝ่ายพันธมิตรไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์หรือทำให้ เยอรมนีอ่อนแออย่างถาวร ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง
 
การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี และเก้าสิบสองปีพอดีหลังสงครามยุติ
 
เป้าหมายซ่อนเร้น...ดับอำนาจจักรวรรดิเยอรมัน

 
เป้าหมายของฝรั่งเศส
เป้าหมายของฝรั่งเศสเน้นไปทางการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยจากการรุกรานของเยอรมนี จากการรบบนแนวรบด้านตะวันตก ฝรั่งเศสสูญเสียทหารไปราว 1.5 ล้านนาย รวมไปถึงพลเรือนอีกกว่า 400,000 คน สงครามได้สร้างความเสียหายแก่ฝรั่งเศสพอ ๆ กับเบลเยี่ยม นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส จอร์จส์ คลูมองโซ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการล้างแค้นเยอรมนี โดยต้องการให้เยอรมนีกลายเป็นอัมพาต ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจและการเมือง
เจต นาของคลูมองโซนั้นชัดเจนและเรียบง่าย นั่นคือ กองทัพของเยอรมนีต้องไม่ถูกทำให้อ่อนแอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้องทำให้อ่อนแออย่างถาวรจนกระทั่งไม่สามารถทำการรุกรานฝรั่งเศสได้อีก คลูมองโซนั้นเป็นบุคคลที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มผู้นำทั้งสี่ จนได้รับฉายา "Tigre" (เสือ) ด้วยเหตุผลดังกล่าว
จอร์จส์ คลูมองโซแห่งฝรั่งเศสต้องการค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีคั่งของประเทศที่ได้ รับความเสียหายและเห็นว่าการเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามนั้นจะเป็นการทำให้เย อรเพื่อฟื้นฟูความ มั่งมนีอ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะเอาแคว้นอัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งถูกฉีกออกไปจากฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) ค.ศ. 1871 กลับคืน หรือถ้าเป็นไปได้ก็แสวงหาแม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนธรรมชาติติดกับเยอรมนี
เป้าหมายของอังกฤษ
นายก รัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้ สนับสนุนการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตที่น้อยกว่าการเรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษ เพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของเยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของ อังกฤษอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น เขายังกังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง และ ต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่ สุดของโลกสองแห่ง ซึงได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิ สัญญาลับ
ยังมีคำกล่าวบ่อย ๆ ว่าลอยด์ จอร์จเดินทางสายกลางระหว่างข้อเสนออันเพ้อฝันของวิลสันและข้อเสนอพยาบาทของคลูมองโซ

เป้าหมายของสหรัฐอเมริกา
นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 สหรัฐ อเมริกาก็ต้องการให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุดโดยที่ไม่มีผู้แพ้และผู้ ชนะ ก่อนสงครามยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้ผลักดันให้ข้อเสนอหลักการสิบสี่ข้อ ซึ่ง มีความรุนแรงน้อยกว่าความต้องการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้เป็นจุดมุ่งหมายในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกา มหาชนชาวเยอรมันคิดว่าสนธิสัญญาสันติภาพควรจะมีเงื่อนไขออกมาประมาณนี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ทว่าหลักการดังกล่าวไม่เคยประสบผลเลย

 ขอจบไว้แค่นี้ก่อนในโอกาสหน้า...จะขอนำเสนอค่าปฏิกรรมสงครามที่แพงหลุดโลกและวาทะเด็ดของสหรัฐอเมริการวมทั้งเพลิงความแค้นของเยอรมัน

 ขอขอบคุณ th.wikipedia.org , en.wikipedia.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น